ค้นหาบล็อกนี้

5/22/2555

คุณสมบัติของเมนบอร์ด

ดังที่กล่าวไปแล้วในหัวข้อที่แล้ว ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงคุณสมบัติที่สำคัญๆ ของเมนบอร์ดว่ามีอะไรที่เราต้องรู้จักกันบ้าง อย่างแรกก็คือ เสถียรภาพของระบบ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเมนบอร์ด ถ้าเมนบอร์ดใดไ รุ่นใดก็ตามมีเสถียรภาพไม่ดีก็จะทำให้เครื่องแฮงค์บ่อย โดยเฉพาะเมื่อใช้งานติดต่อกันเป็ฯเวลานานๆแต่เมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆสมัยนี้ไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องเสถียรภาพ เพราะได้พัฒนามาอยู่ในระดับมาตรฐานเดียวกันหมดแล้ว ชิปเซ็ต ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่างๆ ถือได้ว่ามันเป็ฯหัวใจสำคัญในการทำงานของเมนบอร์ด ชิผเซ็ตเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของเมนบอร์ดแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี เช่น ถ้าใช้ชิปเซ็ต VIA Apollo 133A เมนบอร์ดตัวนั้นจะสามารถรองรับ ram ได้ถึง 2gb และยัช่วยสนับสนุนการ์ดแสดงผลแบบ AGP ในความเร็วระดับ 2/4x การจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ เมนบอร์ดที่ดีต้องมีการจัดวางอุปกรณ์แต่ละตัวให้สอดคล้องกับการทำงานให้มากที่สุด เช่น การ วางram ไว้ใกล้กับ cpu เพื่อลดระยะทางในการรับส่งข้อมูลระหว่าง ram กับ cpuการวาง slot ต่างๆให้สามารถใส่อุปกรณ์หรือการ์ด ต่างๆได้สะดวก ชนิดของเมนบอร์ด ดังที่กล่าวไปในโพสต์ข้างต้นนั้น ชนิดของเมนบอร์ด จะสามารถแล่งออกได้เป็ฯ 2 ชนิด ใหญ่ ๆคือ 1. บอร์ด แบบ AT กับ 2.บอร์ด แบบ ATX อันที่จริงแล้วบอร์ดทั้งสองชนิดเราสามารถใช้งานได้ ขึ้นอยู่กับการที่เราจะนำมาใช้งาน แต่ในปัจจุบัน บอร์ดแบบ ATX ได้รับการพัฒนาในเรื่องการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆบนเมนบอร์โห้มีความเหมาะสมกับการทำงานและมีการวาง cpu ไว้ใกล้กับ power supply เพื่อช่วยระบายความร้อนให้กับ CPU อีกทั้งยังได้พัฒนานำเอาบอร์ดอนุกรมและพอร์ดขนานมาไว้บนเมนบอร์ด จึงทำให้บอร์ดแบบนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงปัจจุบันจึงส่งผลให้บอร์ดแบบ AT เกือบจะไม่ค่อยมีใครนำมาใช้แล้ว แต่ก็อาจจะมีบ้างในตลาด สำหรับผู้ที่นิยมของเก่าอยู่ ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบมากของเมนบอร์ดแบบ AT 1.ตำแหน่งของ ram อยู่ห่างจาก cpu มากทำให้การส่งผ่านข้อมูลระหว่าง ram กับ cpu ไม่สอดคล้องต่อการทำงาน 2.ตำแหน่งของ Port ต่างๆทีอยู่กับเคสคอม ต้องใช้สายเพื่อมาต่อเชื่อมกับเข้ากับเมนบอร์ด 3.การถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างทำได้ยาก เพราะตำแหน่งของSlot ต่างๆวางแบบไว้สลับซับซ้อน 4.การระบายความร้อนขาดประมิทธิภาพ เนื่องจากการระบายความร้อนไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมอยู่ภายในตัวเคส ข้อดีของเมนบอร์ดแบบ ATX 1.ตำแหน่งของ ram กับ cpu อยู่ใกล้กัน ทำให้จึงประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น 2.Port ต่างๆจะถูกติดตั้งอยู๋บนเมนบอร์ดเลย ไม่ต้องใช้สายอื่นๆมาต่อพ่วง ลดการซับซ้อนในการต่อ 3.สามารถใส่การ์ดที่มีขนาดยาวได้ เพราะไม่มีอุปกรณ์ใดๆมาขัดขวาง 4.Port Floppy disk,Harddisk,etc.จัดวางอยู่ในตำแหน่งที่ติดตั้งได้ง่ายโยไม่ต้องลากสายสัญญาณไปไกล ทำให้ลดความยุ่งยากในการเดินสายไฟ 5.การระบายความร้อนทำได้ดีเพราะตำแหน่งของ cpu กับ Power supply อยู่ใกล้กัน 6.ขนาดของบอร์ดเล็กลง ระบบบัส (System Bus)คืออะไร บัสคือ เส้นทางเดินของข้อมูลทีต่อเชื่อใปยังอุปกรณ์ต่างๆ เปรียบเสมือนถนน ที่ให้รถยนต์นำข้อมูลส่งต่อไปยังส่วนอื่นๆบนเมนบอร์ด อันได้แก่ ISA (ระบบนี้ไม่ค่อยนิยมใช้แล้วในปัจจุบัน แต่ก็ยังพอหาดูรูปได้อยู๋บ้าง)PCI หรือ PCI-E(ทั้ง PCIและPCI-E กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้),AGP(จะใช้กับการ์ดแสดงผลเท่านั้น)และ USB ซึ่งเป็นระบบใหม่และเป็นที่นิยมมากในขนาดนี้ สามารถใช้ต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เช่น กล้อง ดิจิตัล เม้าส์ คีย์บอร์ด External Harddisk อืนๆ เป็นต้น Slot ต่างๆ เป็ฯตัวกลางในการติดตั้งการ์ดต่างๆเข้ากับตัวเมนบอร์ด จะมี การ์ดเสียง การ์ดจอ หรือการ์ดแลนเพื่อป็นการเพิ่มความสามารถให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ในปัจจุบันคงเหลือที่นิยมใช้กันอยู่ 2 ประเภท คือ Slot PCI-E กับ Slot AGP ส่วน Slot ISA นั้นก้ยังพอมีเห็นกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก Port ต่างๆบนเมนบอร์ดได้แก่ Port PS/2 ใช้สำหรับต่อเม้าส์กับคีย์บอร์ด Port Parallel,Port Serial,Port USB Port

5/16/2555

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้วส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์จะแบ่งออกเป็น ภายนอก และ ภายใน อุปกรณ์ภายในส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย 1. เมนบอร์ด ( Motherboard ) 2. ชิปประมวลผลหรือหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU ) 3. หน่วยความจำชั่วคราว หรือที่เรียกว่า แรม ( RAM ) 4. หน่วยความจำหลัก ( Hard disk ) 5. การ์ดเสียง ( Sound card ) 6. การ์ดจอ ( VGA card ) 7. การ์ด แลน และ 8.เคส และ power supply 9. CD-rom และ DVD-rom 10. Floppy Disk ในที่นี้อาจจะมีอุปกรณ์อื่นๆต่อพ่วงอีก ทั้งนี้ แล้วแต่ผู้ใช้งาน ภายนอก จะประกอบไปด้วย 1. จอคอมพิวเตอร์ ( Monitor ) ทั้งแบบ crt และ LED ในปัจจุบันพัฒนาจนสามารถต่อเข้ากับ โทรทัศน์ที่บ้านได้แล้ว 2.เครื่องปริ้นเตอร์ ( Printer ) 3. คีย์บอร์ด (Keyboard ) 4. เม้าส์ ( Mouse ) 5. อุปกรณือื่นๆ เช่น ลำโพง และ External Drive ต่างๆ ต่อไปจะพูดถึงส่วนประกอบต่างๆของคอมพิวเตอร์ อย่างละเอียด 1. เมนบอร์ด ( Mother Board ) แผงวงจรหลัก
เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญรองมาจากซีพียู เมนบอร์ดทำหน้าที่ควบคุม ดูแลและจัดการๆ ทำงานของ อุปกรณ์ชนิดต่างๆ แทบทั้งหมดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ซีพียู ไปจนถึงหน่วยความจำแคช หน่วยความจำหลัก ฮาร์ดดิกส์ ระบบบัส บนเมนบอร์ดประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ มากมายแต่ส่วนสำคัญๆ ประกอบด้วย 1. ชุดชิพเซ็ต ชุดชิพเซ็ตเป็นเสมือนหัวใจของเมนบอร์ดอีกที่หนึ่งเนื่องจากอุปกรณ์ตัวนี้จะมีหน้าที่หลักเป็นเหมือนทั้ง อุปกรณ์ แปลภาษา ให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่บนเมนบอร์ดสามารถทำงานร่วมกันได้ และทำหน้าที่ควบคุม อุปกรณ์ต่างๆ ให้ทำงานได้ตามต้องการ โดยชิพเซ็ตนั้นจะประกอบด้วยชิพเซ็ตนั้นจะประกอบไปด้วยชิพ 2 ตัว คือชิพ System Controller และชิพ PCI to ISA Bridge ชิพ System Controller หรือ AGPSET หรือ North Bridge เป็นชิพที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของ อุปกรณ์หลักๆ ความเร็วสูงชนิดต่างๆ บนเมนบอร์ดที่ประกอบด้วยซีพียู หน่วยความจำแคชระดับสอง (SRAM) หน่วยความจำหลัก (DRAM) ระบบกราฟิกบัสแบบ AGP และระบบบัสแบบ PCI ชิพ PCI to ISA Bridge หรือ South Bridge จะทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกันระหว่างระบบบัสแบบ PCI กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่มีความเร็วในการทำงานต่ำกว่าเช่นระบบบัสแบบ ISA ระบบบัสอนุกรมแบบ USB ชิพคอนโทรลเลอร์ IDE ชิพหน่วยความจำรอมไออส ฟล็อบปี้ดิกส์ คีย์บอร์ด พอร์ตอนุกรม และพอร์ตขนาน ชุดชิพเซ็ตจะมีอยู่ด้วยกันหลายรุ่นหลายยี่ห้อโดยลักษณะการใช้งานจะขึ้น อยู่กับซีพียูที่ใชเป็นหลัก เช่นชุด ชิพเซ็ตตระกูล 430 ของอินเทลเช่นชิพเซ็ต 430FX, 430HX 430VX และ 430TX จะใช้งานร่วมกับซีพียู ตระกูลเพนเทียม เพนเที่ยม MMX, K5, K6, 6x86L, 6x86MX (M II) และ IDT Winchip C6 ชุดชิพเซ็ต ตระกูล 440 ของอิเทลเช่นชิพเซ็ต 440FX, 440LX, 440EX และชิพเซ็ต 440BX จะใช้งานร่วมกับ ซีพียูตระกูลเพนเที่ยมโปร เพนเที่ยมทู และเซลเลอรอน และชุดชิพเซ็ตตระกูล 450 ของอินเทลเช่นชุดชิพเซ็ต 450GX และ 450NX ก็จะใช้งานร่วมกับซีพียูตระกูลเพนเที่ยมทูซีนอนสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ระดับ Server หรือ Workstation นอกจากนี้ยังมีชิพเซ็ตจากบริษัทอื่นๆ อีกหลายรุ่นหลายยี่ห้อที่ถูกผลิตออกมา แข่งกับอินเทลเช่นชุดชิพเซ็ต Apollo VP2, Apollo VP3 และ Apollo mVp3 ของ VIA, ชุดชิพเซ็ต Aladin IV+ และ Aladin V ของ ALi และชุดชิพเซ็ต 5597/98, 5581/82 และ 5591/92 ของ SiS สำหรับซีพียูตระกูลเพนเที่ยม เพนเที่ยม MMX, K5, K6, 6x86L, 6x86MX (M II) และ IDT Winchip C6 ชุดชิพเซ็ต Apollo BX และ Apollo Pro ของ VIA, ชุดชิพเซ็ต Aladin Pro II M1621/M1543C ของ ALi และชุดชิพเซ้ต 5601 ของ Sis สำหรับซีพียูตระกูลเพนเที่ยมทู และเซลเลอรอน ซึ่งชิพเซ้ตแต่ละรุ่น แต่ละยี้ห้อนั้นจะมีจุดดีจุดด้อยแตกต่างกันไป
2. หน่วยความจำรอมไบออส และแบตเตอรรี่แบ็คอัพ ไบออส BIOS (Basic Input Output System) หรืออาจเรียกว่า ซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ โดยในอดีต ส่วนของชิพรอมไบออสจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ชิพไบออส และชิพซีมอส ซึ่งชิพซีไปออสจะทำหน้าที่ เก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนชิพซีมอสจะทำหน้าที่ เก็บโปรแกรมขนาดเล็ก ที่ใช้ในการบูตระบบ และสามารถเปลี่ยนข้อมูลบางส่วนภายในชิพได้ ชิพไบออสใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของรอม ส่วนชิพซีมอสจะใช้เทคโนโลยีของแรม ดังนั้นชิพไบออสจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ในการเก็บรักษาข้อมูล แต่ชิพซีมอส จะต้องการพลังงานไฟฟ้าในการเก็บรักษาข้อมูลอยตลอดเวลาซึ่งพลังงานไฟฟ้า ก็จะมาจากแบตเตอรี่แบ็คอัพที่อยู่บนเมนบอร์ด (แบตเตอรี่แบ็คอัพจะมีลักษณะเป็นกระป๋องสีฟ้า หรือเป็นลักษณะกลมแบนสีเงิน ซึ่งภายในจะบรรจุแบตเตอรรี่แบบลิเธี่ยมขนาด 3 โวลต์ไว้) แต่ตอ่มาในสมัย ซีพียตระกูล 80386 จึงได้มีการรวมชิพทั้งสองเข้าด้วยกัน และเรียกชื่อว่าชิพรอมไบออสเพียงอย่างเดียว และการที่ชิพรอมไบออสเป็นการรวมกันของชิพไบออส และชิพซีมอสจึงทำให้ข้อมูลบางส่วนที่อยู่ภายใน ชิพรอมไบออส ต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูลไว้ แบตเตอรี่แบ็คอัพ จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่จนถึง ปัจจุบัน จึงเห็นได้ว่าเมื่อแบตเตอรี่แบ็คอัพเสื่อม หรือหมดอายุแล้วจะทำให้ข้อมูลที่คุณเซ็ตไว้ เช่น วันที่ จะหายไปกลายเป็นค่าพื้นฐานจากโรงงาน และก็ต้องทำการเซ้ตใหม่ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง เทคโนโลยีรอมไบออส ในอดีต หน่วยความจำรอมชนิดนี้จะเป็นแบบ EPROM (Electrical Programmable Read Only Memory) ซึ่งเป็นชิพหน่วยความจำรอม ที่สามารถบันทึกได้ โดยใช้แรงดันกระแสไฟฟ้าระดับพิเศษ ด้วยอุปกรณ์ ที่เรียกว่า Burst Rom และสามาถลบข้อมูลได้ด้วยแสงอุตราไวโอเล็ต ซึ่งคุณไม่สามารถอัพเกรดข้อมูลลงในไบออสได้ ด้วยตัวเองจึงไม่ค่อยสะดวกต่อการแก้ไขหรืออัพเกรดข้อมูลที่อยู่ในชิพรอมไบออ ส แต่ต่อมาได้มีการพัฒนา เทคโนโลยชิพรอมขึ้นมาใหม่ ให้เป็นแบบ EEPROM หรือ E2PROM โดยคุณจะสามารถทั้งเขียน และลบข้อมูล ได้ด้วยกระแสไฟฟ้าโดยใช้ซอฟต์แวร์พิเศษ ได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดายดังเช่นที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
3. หน่วยความจำแคชระดับสอง หน่วยความจำแคชระดับสองนั้นเป็นอุปกรณ์ ตัวหนึ่งที่ทำหน้าเป็นเสมือนหน่วยความจำ บัฟเฟอร์ให้กับซีพียู โดยใช้หลักการที่ว่า การทำงานร่วมกับอุปกร์ที่ความเร็วสูงกว่า จะทำให้เสียเวลาไปกับการรอคอยให้อุปกรณ์ ที่มีความเร็วต่ำ ทำงานจนเสร็จสิ้นลง เพราะซีพียูมีความเร็วในการทำงานสูงมาก การที่ซีพียูต้องการข้อมูล ซักชุดหนึ่งเพื่อนำไปประมวลผลถ้าไม่มีหน่วยความจำแคช เมนบอร์ดในปัจจุบัน เริ่มจากอดีตจนถึงปัจจุบันหน้าตาของเมนบอร์ดและประสิทธิภาพในการทำงานของเมนบอร์ด มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้มีประสิทธภาพในการทำงานมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนี้เมนบอร์ด ที่กำลังเป็นที่นิยมกันก็คงจะหนีไม่พ้นเมนบอร์ดเพนเทียมที่แซงหน้าเมนบอร์ดรุ่น 486 ที่กำลัง จะกลายเป็นเมนบอร์ดที่ถูกทอดทิ้ง เนื่องจากประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของเมนบอร์ด เพนเทียม อีกทั้งแนวโน้มที่กำลังมาแรงของเมนบอร์ดเพนเทียมโปรที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออกมามาก ขึ้น จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ให้ความสนใจและจับตามองความเคลื่อนไหวอย่าง ต่อเนื่อง เมนบอร์ดที่มีคุณลักษณะที่เรียกว่า ATX Form Factor นั่นก็คือการจัดองค์ประกอบหรือวงจร ต่าง ๆ บนเมนบอร์ดให้มีความกระชับ และเสันทางเดินวงจรใกล้ที่สุด นอกจากนี้ยัง built-in พวกพอร์ตต่าง ๆ ไว้ เช่น Com1, Com2, PS/2 Keyboard, Mouse และ Parallelไว้บน เมนบอร์ดอีกด้วย คุณลักษณะสำคัญ ในการเลือกซื้อ คุณลักษณะ ATX เมนบอร์ดในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบให้มีความกระชับและมีความสามารถ เพิ่มขึ้น ซึ่งเมนบอร์ด ATX นั่นก็คือ เมนบอร์ดที่ออกแบบวงจรให้มีความกะทัดรัดมากขึ้น ซึ่ง จะทำให้มีความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นประมาณ 10% รวมทั้งส่วนของ I/O Controler ที่มีอยู่ บนเมนบอร์ด และพวกพอร์ตต่าง ๆ เช่น Com1, Com2, PS/2, Parallel port, Mouse, มีติดอยู่กับบอร์ดให้เลย นอกจากนี้ในส่วนของ IR (infrared) Com Port ยังป็นอีกส่วนบนเมนบอร์ดซึ่งจะช่วยในเรื่อง ของการส่งรับข้อมูลโดยผ่านอุปกรณ์ที่สนับสนุนระบบอินฟราเรดอย่างพวกคีย์บอร์ด และ เครื่องพิมพ์ เช่น เครื่องพิมพ์เลเซอร์รุ่นใหม่ ๆ ของ HP ทุกรุ่นจะสนับสนุนการทำงานระบบ อินฟราเรด USB (Universal Serial Bus) ช่องต่อ I/O ที่สามารถต่ออุปกรณ์เพิ่มเติมแบบ Plug & Play ซึ่งมีความเร็วในการส่งผ่าน ข้อมูลสูงสุด 12 Mbและต่ำสุด 1.5 Mb (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อม) เมนบอร์ดที่พร้อมด้วยเทคโนโลยี USB (Universal Serial Bus ) ซึ่ง USB ที่ว่านี้เป็น I/O ที่เพิ่มเติมเข้ามาบนเมนบอร์ด สำหรับต่ออุปกรณ์ Plug and Play โดยในส่วนของ USB นี้ จะเป็นการเสริมประสิทธิภาพในการใช้งานเมนบอร์ดเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถต่อ เชื่อมอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับพีซีได้อย่างง่ายดาย เช่น การเชื่อมต่อจอภาพ, เครื่องพิมพ์, โมเด็ม, สแกนเนอร์, กล้องดิจิตอล,จอยสติกซ์, ลำโพงดิจิตอล ฯลฯ USB มีความเร็ว (data rate) สูงสุด 12 Mbps และต่ำสุด 1.5 Mbps (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อม) นับว่า USB ที่พัฒนาออกมานี้เป็น การประชันกับการ์ด SCSI ซึ่งคาดว่าในอนาคตคงจะเป็นที่นิยมกันมากขึ้น และอาจจะเป็น อีกออปชันหนึ่งที่ถูกพิจารณาเลือกซื้อเมนบอร์ดในอนาคต สำหรับ Mainboard ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว Mainboard จะแบ่งออกเป็นตามรูปแบบชนิดของ CPU ที่ใช้งานดังนี้
Socket 3 สำหรับ CPU 80486 Socket 5 สำหรับ CPU Pentium รุ่นแรก ๆ ที่ความเร็วประมาณ 60-100 MHz
Socket 7 สำหรับ CPU Pentium Classic และ Pentium MMX รวมถึง IBM และ Cyrix ด้วย Super Socket 7 ที่จริงก็คือแบบเดียวกับ Socket 7 นั่นแหละ แต่สามารถทำงานที่บัส 100 MHz ได้ (Socket 7 เดิมจะทำงานสูงสุดที่ 66 MHz)
Socket 370 สำหรับ CPU Celeron โดยเฉพาะ
Slot 1 สำหรับ CPU Celeron รุ่นแรก ๆ และ Pentium II, Pentium III แต่จะมีอุปกรณ์ ตัวแปลง ที่เรียกว่า Slotket เพื่อให้ใช้ CPU แบบ Socket 370 หรือ FC-PGA ให้ใช้งานบน Mainboard แบบ Slot 1 ได้ด้วย Dual Slot คือจะมีทั้ง Socket 370 และ Slot 1 ทั้งคู่ซึ่งพอพบเห็นอยู่บ้าง
socket 478
socket 479
socket 775
socket 1155
socket 1156 อย่างไรก็ตามข้อมูลในตารางนี้อาจจะไม่ได้ละเอียดมากนัก แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงแต่ละช่วงเวลาได้ค่อนข้างชัดเจนพอสมควร
และยังมี socket ที่ ใส่สำหรับ เมนบอร์ด ของ ค่าย AMD ซึ่งจะได้อธิบายในหัวข้อต่อๆไป นอกจากนี้ลักษณะของ Mainboard ยังมีการแบ่งตาม Case หรือระบบ Power Supply ด้วยโดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ AT กับ ATX โดยส่วนใหญ่แล้วหากเป็น Mainboard รุ่นใหม่ ๆ จะทำเป็นแบบ ATX เป็นส่วนมากซึ่งแบบ ATX นี้เท่าที่เคยได้ยินมาจะมีข้อดีกว่าแบบ AT ซึ่งเป็นแบบเก่าคือ ระบบการระบายความร้อนและการไหลเวียนของอากาศดีกว่า ระบบ Power Supply แบบใหม่สามารถสั่ง เปิด-ปิด เครื่องโดยใช้ Software ได้และอื่น ๆ อีกมากครับ อย่าลืมนะครับว่า Mainboard ของแบบ AT กับ ATX ไม่เหมือนกันและใส่ใน Case ต่างชนิดกันไม่ได้ ดังนั้นเวลาเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ ควรจะตรวจสอบให้ดีก่อนว่าเป็นแบบใด

คอมพิวเตอร์คืออะไร

หลายๆคนยังสงสัยว่า คอมพิวเตอร์คืออะไร? ข้างในตู้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง? แล้วมันทำงานอย่างไร ? ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?
ผมเองเมื่อสมัย 20กว่าปีที่แล้วยังจำได้ว่า เล่นเป่ากบอยู่กับเพื่อนๆ ปาดินน้ำมัน วิ่งไล่จับฯ ไม่ได้รู้หรอกครับว่า เจ้าตู้สี่เหลี่ยม มีจอทีวีอยู่ข้างๆด้วย (แต่ทำไมลุงไม่ยอมเปิดทีวีซักที) ที่ตั้งอยู่ในที่ทำงานของคุณลุง มันคืออะไร ด้วยความสงสัยและอยากรู้ ก็ได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล ว่ามันคืออะไร และก้ได้คำตอบละครับ ว่ามันคือ คอมพิวเตอร์ มาถึงตรงนี้ก็ต้องถามละครับ ว่าคอมฯคืออะไร (ตามหัวข้อเลย) คอมฯ( computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกันแรกเริ่มมนุษย์ดำเนินชีวิตโดยไม่มีการบันทึกสิ่งใด มาจนกระทั่งได้มีการติดต่อค้าขายของพ่อค้าชาวแบบีลอน(Babylonian) การจดบันทึกข้อมูลต่างๆ ลงบน clay tabletsจึงได้ถือกำเนิดขึ้น และอุปกรณ์ที่ช่วยในการคำนวนระหว่างการติดต่อซื้อขายก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน อุปกรณ์คำนวณในยุคแรกได้แก่ ลูกคิด(abacus)ซึ่งก็ยังคงใช้กันต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน
- ประวัติคอมพิวเตอร์ ดำเนินมาถึง ปี พ.ศ. 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Blaise Pascal (แบลส ปาสกาล) ได้สร้างเครื่องกลสำหรับการคำนวณชื่อ pascaline เครื่องกลสำหรับการคำนวณชื่อ pascaline
- ต่อมาในปี พ.ศ. 2215 เครื่องกล pascaline ของ Blaise Pasca ได้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมโดย Gottfried Von Leibniz นักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันโดยเพิ่มสามารถในการ บวก ลบ คูณ หาร และถอดรากได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเครื่อง pascaline ที่ถูกพัฒนาเพิ่มเติมเครื่องนี้มีความสามารถในการคำนวนแม่นยำเพียงใด
- ปี พ.ศ. 2336 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ Charles Babbage ได้สร้างจักรกลที่มีชื่อว่า difference engine ที่มีฟังก์ชันทางตรีโกณมิติต่างๆ โดยอาศัยหลักการทางคณิตศาสตร์ และและต่อมาก็ได้สร้าง
analytical engine ที่มีหลักคล้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบัน จากผลงานดังกล่าว Charles Babbage ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์และเป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน difference engine analytical engine - ปี พ.ศ. 2439 Herman Hollerith ได้คิดบัตรเจาะรูและเครื่องอ่านบัตร
บัตรเจาะรู - จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2480 Howard Aiken สร้างเครื่องกล automatic calculating machine ขึ้น จุดประสงค์ของเครื่องกลชิ้นนี้ก็คือ เพื่อเชื่อมโยงเทคโนโลยีทั้งทาง electrical และ mechanical เข้ากับบัตรเจาะรูของ Hollerith และด้วยความช่วยเหลือของนักศึกษาปริญญาและวิศวกรรมของ IBM ทีมงานของ Howard ก็ประดิษฐ automatic calculating machine สำเร็จในปี พ.ศ. 2487 โดยใช้ชื่อว่า MARK I โดยการทำงานภายในตัวเครื่องจะถูกควบคุมอย่างอัตโนมัติด้วย electromagnetic relays และ arthmetic counters ซึ่งเป็น mechanical ดังนั้น MARK I จึงนับเป็น electromechanical computers ในท้ายที่สุด หากเราจะจำแนกประวัติคอมพิวเตอร์ตามยุคของคอมพิวเตอร์(Computer generations) โดยแบ่งตามเทคโนโลยีของตัวเครื่องและเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล ก็สามารถจะจัดแบ่งตามวิวัฒนาการได้ 4 ยุคด้วยกัน คือ ยุคแรก>>เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของหลอดสูญญากาศ และการเก็บข้อมูลเป็นแบบบัตรเจาะรู โดยใช้อุปกรณ์ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube)
เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง ทำงานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้นเริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน ยุคที่สอง>> เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของทรานซิสเตอร์ และการเก็บข้อมูลเป็นแบบเทป ลักษณะเป็นกรรมวิธีตามลำดับ(Sequential Processing) ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor)
ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่ำ ทำงานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เก็บข้อมูลได้ โดยใช้ส่วนความจำวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core) มีความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS) สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language) เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้ ยุคที่สาม>> เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของไอซี(integrated circuit, IC)
และการเก็บข้อมูลเป็นแบบจานแม่เหล็ก ลักษณะเป็นการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน (Multiprogramming) และออนไลน์(on-line)นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing) โดยทั่วๆไปจะเรียกว่า วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) (สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 ประมาณ 1,000 เท่า) ทำงานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป ยุคที่สี่>> เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีของวงจรรวมขนาดใหญ่ (Large-scale integration, LSI) ของวรจรไฟฟ้า ผลงานจากเทคโนโลยีนี้คือ ไมโครโปรเซสเซอร์ (microprocessor ) ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลักมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมาจนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond : pS)กล่าวได้ว่าเป็น "Computer on a chip" ในยุคนี้ ยุคที่ 5>> คอมพิวเตอร์ยุคเครือข่ายหรือโครงข่าย (ค.ศ.1990-ปัจจุบัน)
เมื่อไมโครคอมพิวเตอร์มีขีดความสามารถสูงขึ้น ทำงานได้เร็ว การแสดงผล การจัดการข้อมูล สามารถประมวลได้ครั้งละมาก ๆ จึงทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายงานพร้อมกัน (multitasking) ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์การโดยใช้เครือข่ายท้องถิ่นที่เรียกว่า Local Area Network : LAN เมื่อเชื่อมหลายๆ กลุ่มขององค์การเข้าด้วยกันเกิดเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การ เรียกว่า อินทราเน็ต และหากนำเครือข่ายขององค์การเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายสากลที่ต่อเชื่อมกันทั่วโลก เรียกว่า อินเตอร์เน็ต (internet) คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันจึงเป็นคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกัน ทำงานร่วมกัน ส่งเอกสารข้อความระหว่างกัน สามารถประมวลผลรูปภาพ เสียง และวิดีทัศน์ ไมโครคอมพิวเตอร์ในยุคนี้จึงทำงานกับสื่อหลายชนิดที่เรียกว่าสื่อประสม (Multimedia) และคอมพิวเตอรในยุคที่ห้า นี้เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง ในยุคนี้ ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้ โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่ 1. ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robotarm System) คือหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด เป็นต้น 2. ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น . การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ เป็นต้น 4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มี หรือจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา เป็นต้น จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการจากอดีตถึงปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาต่อๆ กันมาอย่างรวดเร็วทำให้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาจกล่าวได้อีกว่าโลกของวิทยาการคอมพิวเตอร์นั้นมี การเคลื่อนไหวเสมอ(dynamics) แต่การรพัฒนาดังกล่าวกลับไม่ค่อยยืดหยุ่น(rigid)มากนัก เพราะหากเกิดความผิดพลาด ในกลไกเพียงเล็กน้อย บางครั้งก็อาจเป็นบ่อเกิดปัญหาที่ใหญ่โตมหาศาลได้ นอกจากนี้การพัฒนาคอมพิวเตอร์ยังนับได้ว่าเป็นโลกที่ควบคุมไม่ได้ หรือสามารถจัดการได้น้อย กล่าวคือ ทันทีที่คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยโปรแกรม เครื่องก็ปฏิบัติงานไปตามโปรแกรมด้วยตนเอง และขณะที่เครื่องทำงานอยู่นั้นมนุษย์จะไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ
1. ส่วนนำเข้า (Input Unit) มีหน้าที่รับข้อมูลหรือค่าส่งจากสื่อนำเข้าไปไว้เก็บในหน่วยความจำ เช่น การบันทึกข้อมูลประวัตินักเรียนผ่านทางสื่อ หรือการอ่านคะแนนสอบจากบัตรคำตอบ เป็นต้น 2. ส่วนประมวลผลกลาง (Central Processong Unit) เป็นส่วนที่ทำการประมวลผลข้อมูลที่ได้นำเข้าจากส่วนนำข้อมูลเข้า ส่วนประมวลผลกลางจะประกอบไปด้วย 3 หน่วยหลักๆ คือ 2.1 หน่วยความจำ (Memory) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากการนำเข้าหรือจากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ RAM(Random Access Memory) ROM(Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำชนิดที่สามารถบันทึกข้อมูลได้และลบข้อมูลได้ แต่ไม่จำข้อมูลในขณะที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยง หน่วยความจำประเภทนี้เรียกว่าหน่วยความจำหลัก ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานเป็นหลัก เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลได้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบันทึกข้อมูลใหม่ได้ ส่วนใหญ่จะใช้เก็บโปรแกรมสำคัญหรือกราฟิกต่างๆ 2.2 หน่วยคำนวณ (Arithmetic & Logic) หลักการคำนวณของคอมพิวเตอร์มี 2 หลักการ คือ 1. การคำนวณ (Arithmetic&Logic) คือ การบวก ลบ คูณ หาร 2. การเปรียบเทียบ (Logical) เช่น การคำนวณหาค่าผลรวมของยอดกำไรขาดทุน และ การเปรียบเทียบข้อมูลแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละหมวดแต่ละหมู่ 2.3 หน่วยควบคุม(Control Unit) ทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์และทำหน้าที่ประสานงานการทำงานภายในและงานภายนอกของคอมพิวเตอร์ 3. ส่วนแสดงผลข้อมูล (Output Unit) ทำหน้าที่ในการแสดงผลจากการประมวลผลแล้วไปยังสื่อที่แสดงผลลัพธ์ ได้แก่ จอภาพ เครื่องพิมพ์ หรือเก็บไว้ที่หน่วยความจำ ได้ทั้งความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำและประหยัด เนื่องจากการเขียนคำสั่งเพียงครั้งเดียวสามารถทำงานซ้ำๆได้คราวละจำนวนมากๆ